หุ้น คืออะไรเป็นคำถาม Basicที่ได้ยินกันบ่อย บ้างครั้งก็อยากรู้ หรือไม่อยากรู้ รู้แต่ว่าเห็นราคาขึ้นลงแล้วมันอยากซื้อ โดยไม่ทันคิดว่ามันคืออะไร เดี๋ยวค่อยไปดูทีหลังว่าบริษัทเค้าทำอะไร หรือ อาจจะมีคนที่ไม่เข้าใจในหุ้น มักจะพูดประโยคที่ว่า คนจนเล่นหวยคนรวยเล่นหุ้น แต่เดี๋ยวนี้ ไม่รวยก็เล่นหุ้นได้ สำหรับคนที่คิดว่าจะเล่นหุ้น ขอบอกว่าคุณมาถูกทางแล้ว เพราะหุ้นทำให้นักลงทุนที่เข้าใจในการลงทุน ร่ำรวยมามากต่อมาก คำถามคือทำอย่างไร
ฉะนั้น หุ้น คือ หุ้นส่วนในการความเป็นเจ้าของร่วมกัน เมื่อเราซื้อหุ้น เราก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่ง ในส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Equity
ที่ CEO สร้างขึ้นมาไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม มีสิทธื์ได้รับเงินปันผลและ ส่วนต่างมูลค่าจากราคาหุ้น แต่ถ้าบริษัทขาดทุนก็มีผลในทางตรงกันข้ามเช่นกัน แล้วถ้านักลงทุนขายหุ้นก็เป็นการสละความเป็นเจ้าของ เบนจามิน เกรแฮม ซึ่งเป็นสุดยอดปรมจาร์ด้านการลงทุน ทั้งยังเป็นอาจารย์ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้สอนไว้ว่า
"การลงทุนที่ชาญฉลาดคือการลงทุนเสมือนเข้าร่วมทำธุรกิจ"
ทั้งยังเป็นปรัชญาแนวคิดที่ วอร์เรน ยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นมาโดยตลอด ที่นี้เราก็พอรู้แล้วว่าหุ้นคืออะไร ต้องเข้าใจในกิจการ ลงทุนเสมือนเข้าร่วมทำธุรกิจ เพื่อการลงทุน ลดความเสี่ยงและสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
คอร์สสัมมนา http://www.beststockclub.com/index.php?page=aboutus
Blogs นี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจและข้อมูลพื้นฐาน สำหรับนักลงทุน ที่เริ่มต้นสนใจในการลงทุน เพื่อทำความเข้าใจว่าหุ้นนั้นจริงๆแล้วคืออะไร วิธีการดูงบการเงินแบบง่ายๆ บทความต่างๆที่อยู่ใน Blog นี้ได้ รวบรวมความรู้ แนวคิด และประสบการณ์ จากอาจารย์หลายๆๆ ท่าน เพื่อทำให้นักลงทุนสามารถทำความเข้าใจพื้นฐานของหุ้นได้เป็นอย่างดี ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่ได้ประสาทวิชาความรู้ เพื่อเผยแพร่ต่อไป
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558
สอนหุ้น วิธีเลือกหุ้น ตอนที่1 ดูผลการดำเนินงาน 2
รูปที่ 2.
ระหว่างรูปที่1 กับ รูปที่ 2 นักลงทุนคิดว่าควรจะเลือกศึกษาหุ้นตัวไหนต่อไป
คำตอบก็น่าจะเป็นรูปที่ 1
สรุปการดูผลการดำเนินการ เป็นการคัดเลือกหุ้นในเบื้องต้นเพื่อที่จะหาข้อมูลในเชิงลึกของหุ้นที่เราสนใจจะลงทุนต่อไป
หุ้นคืออะไร วิธีเลือกหุ้น ตอนที่1 ดูผลการดำเนินงาน1
มาเล่นหุ้นกัน การดูผลการดำเนินงานเปรียบเสมือน การดูผลการทำงานของ CEO หรือ เพื่อให้ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น เราจะคิดว่าเป็นการดูผลการทำงานของบริษัทก็ได้ การดูผลการดำเนินเป็นการสแกนหุ้นในขั้นตอนที่ 1 สิ่งที่เราจะดูมีด้วยกัน 4 ตัว
1.Equity ส่วนของผู้ถือหุ้น
2.Asset ทรัพย์สิน
3.Revenue รายได้
4.Net Profit กำไรสุทธิ
ตัวอย่างบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
จากรูปที่1. เราจะเห็นว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท มีการเติบโตขึ้นทุกปี
ต่อไปเราลองมาดูอีกหนึ่งบริษัท เพื่อเปรียบเทรียบผลการดำเนินงานกัน
1.Equity ส่วนของผู้ถือหุ้น
2.Asset ทรัพย์สิน
3.Revenue รายได้
4.Net Profit กำไรสุทธิ
ตัวอย่างบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
รูปที่ 1.
จากรูปที่1. เราจะเห็นว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท มีการเติบโตขึ้นทุกปี
ต่อไปเราลองมาดูอีกหนึ่งบริษัท เพื่อเปรียบเทรียบผลการดำเนินงานกัน
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558
มูลค่าหุ้น
คำว่า มูลค่า ในความหมายของหุ้น มีด้วยกัน 4 มูลค่า ซึ่งมีความหมายแตกต่างกัน
1.มูลค่าตามราคาพาร์ (Par Value)
2.มูลค่าตามบัญชี (Book Value)
3.มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value)
4.มูลค่าตลาด (Market cap)
มูลค่าตามราคาพาร์ (Par Value) เป็นราคาของผู้ก่อต้ังบริษัท ตอนที่ไปจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ ว่าหุ้นของบริษทแต่ละหุ้นมีราคาเท่าไหร่ เช่น หุ้นละ 2 บาท เป็นต้น
มูลคค่าตามบัญชี (Book Value) เป็นมูลค่าที่สามารถเติบโตได้ ขึ้นอยู่กับความ สามารถของ CEO
ว่าจะสามารถทำ Net Profit หรือ กำไรสุทธิได้มากขนาดไหน เพราะกำไรสุทธิหลังจากจ่ายเงินปันผลแล้ว ก็จะนำไปรวมกับ ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Equity ซึ่งจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Equity มีมูลค่ามากขึ้น Equity มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Book Value
มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Inteinsic Value) เป็นมูลค่าที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุน เพราะหุ้นทุกตัวควรจะมีการสร้างมูลค่ามากกว่าลดมูลค่า แล้วมูลค่าหุ้นที่แท้จริงในระยะยาวควรจะเป็นเท่าไหร่ เพราะหุ้นบางตัวราคาพาร์ 10 บาท แต่อาจจะมีมูลค่าที่แท้จริง เป็น 100 บาทก็เป็นไปได้
มูลค่าตลาด (Market cap) มูลค่าตลาดเราสามารถเห็นได้ทุกวัน ทุกวินาที ขึ้นๆๆ ลงๆๆ ไม่แน่ไม่นอน แล้วแต่อารมณ์ของนักลงทุนว่านะตอนนั้นจะได้รับข้อมูล หรือ ข่าวอะไรมา ถ้าเป็นข่าวดีหุ้นก็อาจขึ้นถ้าเป็นข่าวไม่ดีหุ้นก็อาจจะลง ขึ้นๆลงๆได้ตลอดเวลา หรือบางครั้งก็อยู่เฉยๆๆ อาการเหล่านี้
เราเรียกว่า อารมณ์ตลาด แต่สุดท้ายแล้วในระยะยาวราคาหุ้นจะวิ่งไปหามูลค่าที่แท้จริงของมันเสมอ ตามคำกล่าวของ เบนจามิน เกรแฮม
คอร์สสัมมนา http://www.beststockclub.com/index.php?page=aboutus
1.มูลค่าตามราคาพาร์ (Par Value)
2.มูลค่าตามบัญชี (Book Value)
3.มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value)
4.มูลค่าตลาด (Market cap)
มูลค่าตามราคาพาร์ (Par Value) เป็นราคาของผู้ก่อต้ังบริษัท ตอนที่ไปจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ ว่าหุ้นของบริษทแต่ละหุ้นมีราคาเท่าไหร่ เช่น หุ้นละ 2 บาท เป็นต้น
มูลคค่าตามบัญชี (Book Value) เป็นมูลค่าที่สามารถเติบโตได้ ขึ้นอยู่กับความ สามารถของ CEO
ว่าจะสามารถทำ Net Profit หรือ กำไรสุทธิได้มากขนาดไหน เพราะกำไรสุทธิหลังจากจ่ายเงินปันผลแล้ว ก็จะนำไปรวมกับ ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Equity ซึ่งจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Equity มีมูลค่ามากขึ้น Equity มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Book Value
มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Inteinsic Value) เป็นมูลค่าที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุน เพราะหุ้นทุกตัวควรจะมีการสร้างมูลค่ามากกว่าลดมูลค่า แล้วมูลค่าหุ้นที่แท้จริงในระยะยาวควรจะเป็นเท่าไหร่ เพราะหุ้นบางตัวราคาพาร์ 10 บาท แต่อาจจะมีมูลค่าที่แท้จริง เป็น 100 บาทก็เป็นไปได้
มูลค่าตลาด (Market cap) มูลค่าตลาดเราสามารถเห็นได้ทุกวัน ทุกวินาที ขึ้นๆๆ ลงๆๆ ไม่แน่ไม่นอน แล้วแต่อารมณ์ของนักลงทุนว่านะตอนนั้นจะได้รับข้อมูล หรือ ข่าวอะไรมา ถ้าเป็นข่าวดีหุ้นก็อาจขึ้นถ้าเป็นข่าวไม่ดีหุ้นก็อาจจะลง ขึ้นๆลงๆได้ตลอดเวลา หรือบางครั้งก็อยู่เฉยๆๆ อาการเหล่านี้
เราเรียกว่า อารมณ์ตลาด แต่สุดท้ายแล้วในระยะยาวราคาหุ้นจะวิ่งไปหามูลค่าที่แท้จริงของมันเสมอ ตามคำกล่าวของ เบนจามิน เกรแฮม
คอร์สสัมมนา http://www.beststockclub.com/index.php?page=aboutus
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558
MACD หรือ เเม๊กดี คืออะไร ใช้ยังไง?
สำหรับนักลงทุนแล้วคงไม่มีใคร ไม่รู้จัก MACD หรือ แม๊คดี
MACD ใช้วัด Momentum ของราคาหุ้น เปรียบเสมือนรถที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
ถ้ามี Momenntum แรง ก็จะวิ่งได้เร็วแรง แต่ถ้า Momentum น้อย ก็แปลว่าเริ่มอ่อนแรง
}Momentum คือ กำลังการเคลื่อนไหวที่อยู่ในวัตถุ
MACD ใช้วัด Momentum ของราคาหุ้น เปรียบเสมือนรถที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
ถ้ามี Momenntum แรง ก็จะวิ่งได้เร็วแรง แต่ถ้า Momentum น้อย ก็แปลว่าเริ่มอ่อนแรง
}Momentum คือ กำลังการเคลื่อนไหวที่อยู่ในวัตถุ
}คือ
โมเมนตัม = น้ำหนัก x ความเร็ว สูตร (p= mv)
}MACD=Momentum
}P =
Momentum
}M=
Volume ของหุ้น (น้ำหนักของมวล)
}V = ความเร็วในการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น ข้ามช่อง Bid-Offer
}หมายความว่า หากแท่งราคาใด ที่มี Volume
ปริมาณมากๆ
และมีการเคลื่อนที่ข้ามช่องราคาอย่างรวดเร็ว Momentum
หรือ
MACD ก็จะมีสัญญาณที่แรง
}แท่งราคานั้น
จะมีปริมาณที่มากด้วยเช่นกัน MACD ที่ใช้ต้องอยู่บน 0 ขึ้นไปยิ่งมากยิ่งดี ถือว่ามีกำลังมากโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ก็มีมากด้วยเช่นกันในทางตรงกันข้าม ถ้า MACD ปรับตัวก็ลงหมายความว่าสัญญาณเริ่มอ่อนเเรง MACD เป็นหนึ่ง Indicator ที่ใช้ เพื่อช่วย Confirm
สัญญาณ หรือ Signal ในการซื้อ หรือ ขาย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Ware Riders P' Pui
คอร์สสัมมนา www.beststockclub.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Ware Riders P' Pui
คอร์สสัมมนา www.beststockclub.com
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

